ที่มาและความสำคัญ

 

“ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสัน” เป็น “ศูนย์ต้นแบบ” ที่รวมความร่วมมือผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันของแต่ละหน่วยงานในประเทศและนานาชาติที่มี

ความสามารถเฉพาะด้านทางด้านการเคลื่อนไหวและด้านที่เกี่ยวเนื่องกับด้านการเคลื่อนไหวให้สามารถมาทำงานร่วมกันแบบสหสาขาวิชาชีพ โดยการริเริ่มของศูนย์

ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นศูนย์เฉพาะทางดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวแห่ง

แรกในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ที่มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนาแนวทางการรักษาผู้ป่วยที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพ โดยเริ่มให้การดูแล

ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่เปรียบเสมือนเป็น “โรคต้นแบบ” ของการดูแลด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์ ในแบบองค์รวมด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพ 

อย่างไรก็ตามการศึกษาด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์ที่มีในปัจจุบันส่วนใหญ่ จะเป็นการศึกษาโดยศูนย์การแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้านการเคลื่อนไหวเฉพาะ ด้านใด

ด้านหนึ่งหรือเป็นการศึกษาเฉพาะโรคเป็นหลัก แต่ยังไม่มีศูนย์การแพทย์ใดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่มีการให้บริการดูแลทางด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์ 

โดยทีมสหสาขาวิชาชีพที่ทำงานร่วมกันแบบองค์รวมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลรักษามาก่อนจึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรค

พาร์กินสัน” ที่จะถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการรวมความร่วมมือของแต่ละหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาชาติ

 

หลักการและเหตุผล / เหตุผลและความจำเป็นในการจัดตั้ง

 

ศูนย์โรคพาร์กินสันรวมผู้เชี่ยวชาญด้นสัน (Hub of Talents : Parkinson's Disease) ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ในการดำรงชีวิตประจำวันที่ต้องอาศัยการทำงาน

ของระบบประสาทเป็นระบบหลักที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น “ศูนย์ควบคุม” ร่างกายให้เกิดการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวแบบภายใต้อำนาจจิตใจ 

(voluntary movement) โดยการศึกษาการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือ human movement นั้นมีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้ง

การเคลื่อนไหวแบบภายใต้อำนาจจิตใจ (voluntary movement) เช่น การนั่ง การยืน การเดิน การรับประทานอาหาร และ การพูด เป็นต้น และ การเคลื่อนไหวแบบ

อัตโนมัติ (automatic movement) เช่น การทรงตัว การเคลื่อนไหวขณะนอน การหายใจ การกระพริบตา เป็นต้น การที่บุคคลมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวหรือมีข้อ

จำกัดในการเคลื่อนไหวร่างกาย จะสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สังคมและเศรษฐกิจ ได้มาก ดังนั้นการศึกษาถึงแบบแผนของการเคลื่อนไหว ในมนุษย์จึงมี

ความสำคัญและจะเป็นต้นแบบของการเรียนรู้ที่นำไปสู่ศาสตร์ของการวิเคราะห์อาการเดิน การทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือ gait, balance and others 

abnormal movements ซึ่งในปัจจุบันพบว่าปัญหาด้านการเคลื่อนไหวผิดปกตินั้นพบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากสังคมในปัจจุบัน กำลังก้าว

เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุซึ่งในอนาคตผู้สูงอายุจะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ ที่จะมีจำนวนมากขึ้นในทุกๆประเทศ โดยจากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าจากจำนวน

ประชากรทั่วโลกกว่าเจ็ดพันล้านคน พบผู้ที่มีปัญหาด้านการเดินและการเคลื่อนไหวถึงกว่า 200 ล้านราย โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 15 ปี โดยอุบัติ

การณ์ของการเกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติจะพบได้บ่อยในกลุ่มประชากรสูงอายุ ซึงในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงทำให้การดูแลด้านการ

เคลื่อนไหวจึงจำเป็นที่จะต้องให้การดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพเพื่อให้การประเมินและดูแลรักษาได้แบบองค์รวมนอกจากนี้ โรคกลุ่มอาการเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้จำกัด

เฉพาะกลุ่มโรคพาร์กินสันแต่อย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงกลุ่มอาการเคลื่อนไหวแบบอื่นในมนุษย์ทั้งอาการเคลื่อนไหวแบบปกติและอาการเคลื่อนไหวแบบผิดปกติอื่น

อีกด้วย ทำให้การศึกษาด้านการเคลื่อนไหวยังให้ประโยชน์ที่นอกเหนือทางด้านการรักษาหรือทางการแพทย์โดยการร่วมสนับสนุนการประเมินการเคลื่อนไหวในศาสตร์

อื่นๆ เช่น ศิลปกรรมศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นต้น ดังนั้นการศึกษางานด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์นี้จึงจำเป็นต้องใช้บุคลากรจากหลายหลายสาขามาร่วม

ประเมินและวางแนวทางในการรักษาแบบองค์รวมให้ครอบคลุมและแก้ไขทุกปัญหาได้อย่างเหมาะสมและให้ผลดี เนื่องจากมุมมองที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสห

สาขาวิชาชีพจึงจะช่วยพัฒนางานด้านการบริการได้มาก 

 

โดยมุมมองของบุคลากรแต่ละสหสาขาวิชาชีพจะมีความแตกต่างกัน เช่น บุคลากรทางการแพทย์จะมองการเคลื่อนไหว ในเชิงการวินิจฉัยและการรักษาอาการ

เคลื่อนไหวผิดปกติ และบุคลากรพยาบาล จะมองการเคลื่อนไหว ในเชิงการแนะนำการพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นักกายภาพบำบัดอาจจะมองการ

เคลื่อนไหวในเชิงการฟื้นฟูการทำงานของกล้าม เนื้อและข้อต่อ นักสหเวชศาสตร์ก็จะเน้นที่การคิดค้นอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ร่วมในการ ดำรงชีพของผู้ป่วยและทำให้

คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น แต่มุมมองของวิศวกรจะมองการเคลื่อนไหว ในเชิงชีวกลศาสตร์ (biomechanics) หรือ ชีวฟิสิกส์ (biophysics) ซึ่งสามารถที่จะนำมาเป็น

ตัวชี้วัดหรือการพัฒนาเป็นอุปกรณ์ต่างๆได้ และนักสถาปัตย์จะมีมุมมองด้านการเคลื่อนไหวในการออกแบบสิ่งแวดล้อมให้เอื้อประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวหรือการ

ออกแบบที่อยู่อาศัยให้สามารถป้องกันอุบัติเหตุจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นต้น ดังนั้นการมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและทำงานร่วมกันสหสาขาวิชาชีพที่จะ

สามารถขยายงานการดูแล ด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์แบบองค์รวมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีตัวอย่างของการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในต่าง

ประเทศ อาทิเช่น Human Motor Control Section ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Institute of Health) , MRC Human 

Movement Balance Unit ของ สถาบันลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งประสบความสำเร็จในการศึกษาวิจัยด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์และการดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคการ

เคลื่อนไหวผิดปกติโดยใช้ความร่วมมือแบบสหสาขาวิชาชีพ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีสถาบันหรือศูนย์การแพทย์ในประเทศไทยที่จะให้บริการการตรวจประเมิน 

การวินิจฉัย ทางด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์แบบองค์รวมด้วยทีมบุคลากรแบบสหสาขาวิชาชีพมาก่อน จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรค

พาร์กินสัน (Hub of Talents : Parkinson's Disease)ที่จะถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการรวมความร่วมมือของแต่ละหน่วยงานทีมสหสาขาวิชาชีพทั้งในประเทศและระดับ

นานาชาติ ในการให้บริการดูแลทางด้านการเคลื่อนไหวในมนุษย์ โดยที่ทำงานร่วมกันแบบองค์รวมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันและดูแลรักษาความผิดปกติ

ทางการเคลื่อนไหวในมนุษย์

 

โดยการที่ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันมีการดำเนินการทำให้เกิดการร่วมมือในการทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพอย่างถาวรและยั่งยืนโดยมีแนวทางการ

ดำเนินการ ดังนี้ 

 

  1. การจัดงานประชุมและสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติ แบบทีมงานสหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary team) เพื่อตอบสนองประเด็นที่มีความสำคัญระดับประเทศด้านสุขภาพของประชาชน และต่อยอดสร้างขีดความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันและกลุ่มความเคลื่อนไหวผิดปกติให้สามารถแข่งขันของประเทศที่สูงขึ้นได้
  2. นำความรู้ใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในมนุษย์จากการศึกษาวิจัยแบบสหสาขาวิชาชีพออกสู่สาธารณชน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น การค้นหาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน การป้องกันการหกล้ม และการอำนวยความสะดวกต่อการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ เป็นต้น
  3. การนำความรู้ใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในมนุษย์จากการศึกษาวิจัยมาประยุกต์ใช้ในการป้องกันและรักษาโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและสามารถปรับให้เหมาะสมกับสังคมอาเซียนได้อีกด้วย
  4. การนำความรู้ใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในมนุษย์จากการศึกษาวิจัยแบบสหสาขาวิชาชีพไปประยุกต์ต่อยอดในเชิงพาณิชย์  เพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในผู้สูงอายุในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น การพัฒนาดิจิทัลเชิงรุกระดับชาติ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยพาร์กินสัน เพื่อเป็นต้นแบบของการ ป้องกันและชะลอความรุนแรงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทย การใช้เครื่องมือที่ใช้วัดสั่นมาประยุกต์ประดิษฐ์อุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบต่างๆ วัดการเดินหรือการหกล้มในผู้สูงอายุที่สามารถวัดการเคลื่อนไหว การเดิน หรือการหกล้ม ง่ายๆที่บ้านในชีวิตประจำวันได้